วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

COMWORK:WEEK5

Let's Drink Orange Juice<<<



"น้ำส้ม" คือน้ำที่เราชอบดื่มมันมากที่สุด ดื่มบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะซื้อน้ำร้านไหนก็จะสั่งแต่ น้ำส้ม น้ำส้ม และน้ำส้ม ทุกครั้งเลย ว่างๆก็จะดื่มแต่น้ำส้ม ขาดไม่ได้เลย บางครั้งอยากดื่มมันจนไม่กินข้าวเพื่อดื่มแต่ น้ำส้ม เลยอยากจะเชิญชวนให้มาเสพติดน้ำส้มไปด้วยกัน ด้วยการนำเสนอในด้านคุณประโยชน์ต่างๆของน้ำส้ม มาดูกันเลย let's go!!!


ขั้นแรกมารู้จักกับ 'ส้ม' กันก่อนเนอะๆ


ส้ม เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กหลายชนิด เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ สกุล Citrus วงศ์ Rutaceae มีด้วยกันนับร้อยชนิด เติบโตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมากจะมีน้ำมันหอมระเหยในใบ ดอก และผล และมีกลิ่นฉุน หากนำใบขึ้นส่องกับแสงแดด จะเห็นจุดเล็กๆ เต็มไปหมด ซึ่งจุดเหล่านั้นก็คือแหล่งน้ำมันนั่นเอง ส้มหลายชนิดรับประทานได้ ผลมีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษ ถ้าผลไม้จำพวกนี้มี มะ อยู่หน้า ต้องตัดคำ ส้ม ออก เช่น ส้มมะนาว ส้มมะกรูด เป็น มะนาว มะกรูด

ส้มมีวิตามินซีเท่าไร? ผลส้มสด 100 กรัม จะมีเบต้าแคโรทีน 82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 50 มิลลิกรัม โดยส้ม 1 ผลส้มโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 140 กรัม ก็เท่ากับว่าส้ม 1 ลูกมีวิตามินซี 70 mg. และมีเบต้าแคโรทีน 115 mcg. นั่นเอง




สรรพคุณของส้ม
  1. ดื่มแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
  2. ส้ม มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมาย จึงช่วยในการชะลอวัย
  3. ส้มมีคุณสมบัติในการช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ช่วยลดเลือนหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
  4. ส้ม ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  5. ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน
  6. ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก เพราะส้มมีวิตามินซี
  7. ช่วยเสริมสร้างกระดูดให้แข็งแรง ด้วยแคลเซียม และวิตามินดีจากส้ม
  8. การกินส้มก็ช่วยลดสภาวะความเครียดได้เหมือนกันนะ
  9. ส้มช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
  10. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  11. ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
  12. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
  13. ช่วยในการขับถ่าย เพราะส้มมีกากใยสูง
  14. ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และที่กระเพาะ
  15. ช่วยป้องกันการเป็นอัมพาตหากกินผลไม้ตระกูลส้มเป็นประจำ
  16. สารฟลาโวนอยด์ในส้ม จะช่วยป้องกันการอักเสบและเลือดจับตัวกันเป็นก้อน
  17. ในส้มมีสารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยชะลอความเสื่อมเส้นผม เล็บ และผิวของคุณ และช่วยให้ผนังหลอดเลือดเส้นเลือดฝอยแข็งแรง
  18. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายของเรา
  19. ช่วยในการสมานแผลต่างๆ เช่น แผลไฟไหม้ หรือแผลหลังผ่าตัดให้หายดียิ่งขึ้น
  20. เปลือกส้มจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ
  21. เปลือกส้ม มีสารช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยกรองสารพิษในตับได้ด้วย
  22. การเสิร์ฟเปลือกส้มคู่กับอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ จะช่วยในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้
  23. เปลือกส้มมีฤทธิ์ในการช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้
  24. เปลือกส้มที่แห้งแล้วเมื่อนำไปจุดไฟจะมีกลิ่นหอมและมีคุณสมบัติในการไล่ยุง
  25. ประโยชน์ของส้มจากน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้มก็ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้ดี

คุณค่าทางโภชนาการของส้ม ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 47 กิโลแคลอรี่
  • คาร์โบไฮเดรต 11.75 กรัม
  • น้ำตาล 9.35 กรัม
  • เส้นใย 2.4 กรัม
  • ไขมัน 0.12 กรัม
  • โปรตีน 0.94 กรัม
  • วิตามินเอ 11 ไมโครกรัม 1%
  • วิตามินบี1 0.087 มิลลิกรัม 8%
  • วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี3 0.282 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินบี5 0.25 มิลลิกรัม 5%
  • วิตามินบี6 0.06 มิลลิกรัม 5%
  • วิตามินบี9 30 ไมโครกรัม 8%
  • โคลีน 8.4 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินซี 53.2 มิลลิกรัม 64%
  • วิตามินอี 0.18 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุแคลเซียม 40 มิลลิกรัม 4%
  • ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
  • ธาตุแมงกานีส 0.025 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 14 มิลลิกรัม 2%
  • โพแทสเซียม 181 มิลลิกรัม 4%
  • ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่

แต่แนะนำให้ดื่มน้ำส้มคั้นสดๆดีกว่าผลส้ม เพราะ?

 น้ำส้ม สด 1 แก้ว ต้องใช้ผลส้มประมาณ 3-10 ผล ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้มและประเภทของเครื่องคั้น ผลส้มเขียวหวานขนาดกลาง (ขนาด 10 ผลมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโล) คั้นด้วยมือ จะใช้ผลส้ม 4 ผล ให้ได้น้ำส้มสด 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วจึงมีคุณค่ามาก มีสารอาหารมากเป็น 4 เท่าของส้ม 1 ผล มีวิตามินซีในปริมาณเพียงพอต่อร่างกายในหนึ่งวันเลยทีเดียว ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมของธาตุเหล็ก และกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย ได้แคลเซียมประมาณร้อยละ 20 ของความต้องการต่อวัน มีเบตา-คาโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายได้ มีกรดอินทรีย์ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมเกลือแร ่ในอาหาร

       แต่สิ่งที่พบในผลส้ม แต่ในน้ำส้มคั้นมีน้อยกว่า ก็คือ เส้นใยอาหาร และที่น่าสนใจคือ น้ำส้ม สด1 แก้ว มีความหวานของน้ำตาลเท่ากับ 32 กรัม หรือเทียบประมาณ 6 ช้อนชา (ปริมาณที่แนะนำ ควรได้น้ำตาลในปริมาณไม่เกิน 20-30 กรัมในหนึ่งวัน หรือ 4-6 ช้อนชา) และให้พลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรี ในขณะที่ผลส้มสด 1 ผลขนาดกลางให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

     ทราบอย่างนี้แล้ว ดื่มน้ำส้ม สดจะได้คุณค่ามากดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่พึงระวังน้ำตาลและพลังงาน ถ้าท่านมีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานต้องพิจารณาปริมาณน้ำส้มที่ดื่ม และต้องรับประทานอาหารอื่นให้ได้สมดุล พลังงานและน้ำตาล ที่ได้รับต่อวันด้วย
 

น้ำส้มคั้นสดดื่มทุกวันเป็นประโยชน์ต่อร่างกายจำนวนมาก ได้แก่
   1.เสริมสร้างกระดูก น้ำส้มสามารถให้แคลเซียม และวิตามินดีแก่ร่างกายได้ดีพอๆกับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก
   2.คอลลาเจนในน้ำส้มช่วยซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น
   3.ช่วยรักษาโรคหัวใจ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งอองตาริโอตะค้นพบ สารอาหารในน้ำส้มจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี เพิ่มคอเลสเตอรอลส่วนดี ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบได้ แล้วในน้ำส้มมีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเป็นความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองอุดตันได้ดี
   4.ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ผลในการวิจัยบอกว่าในเวลาที่เราคั้นน้ำส้ม เรามักจะผ่าส้มออกเป็นสองซีก แล้วคั้นจะมีรสชาติของเปลือกออกมาด้วย รสชาติที่ได้จากเปลือกส้มจะมีสาร ไลมอนอยด์ สามารถต้านมะเร็งในช่องปาก คอ ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ ผิวหนัง ตับ และเต้านม เป็นต้น5.ป้องกันโรคนิ่ว จากผลงานวิจัย ได้ศึกษาผลการดื่มน้ำส้มป้องกันการเกิดนิ่วในไต การดื่มน้ำส้มคั้นจะเพิ่มประมาณของสารซิเตรต ในน้ำปัสสาวะมีความเป็นกรดลดลง ลดการตกผลึกของกรดยูริก และแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งเป็นส่วนจะทำให้เกิดก้อนนิ่วจึงลดการเสี่ยงในการเกิดโรคนิ่วในไตได้

          จากการศึกษาหาข้อมูลและได้สัมภาษณ์ พบว่าคนส่วนใหญ่ดื่มน้ำส้ม 100% ตามแบรนด์ต่างๆ มากกว่าการดื่มน้ำส้มคั้นสด แต่เราจะได้คุณค่าที่ดีทั้งหมดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราดื่มด้วย หากเราคั้นสดแล้วดื่มเลย แน่นอนว่าจะได้วิตามมินของน้ำส้มครบแต่หากเราซื้อเป็นกล่องตามยี่ห้อต่างๆนั้น ต่อให้เป็น100% คุณค่าที่ได้ก็ยังไม่เท่าคั้นสดเพราะมีสารกันบูดมีการคั้นไว้นานแล้ว คุณค่าที่เราจะได้จากการดื่มนั้นจะน้อยกว่าที่เราคั้นแล้วดื่มเลย แต่หากไม่มีเวลาคั้นก็สามารถดื่มตามยี่ห้อต่างๆทดแทนได้ ถึงแม้จะได้คุณค่าไม่ครบทั้งร้อยแต่ก้อดีกว่าไม่ได้เลย

เราลองมาดูประโยชน์ของส้มที่ไม่ใช่เพียงแต่เนื้อกับน้ำของส้มกัน

เปลือกส้ม หารู้ไม่ว่าเปลือกส้มที่เราทิ้งกันมีประโยชน์นานับประการ ถ้าการทำงานในทุกๆ วันทำให้คุณรู้สึกเครียดหรือเมื่อยล้าและอยากหาสิ่งที่ช่วยผ่อนคลาย เปลือกส้มช่วยท่านได้..โดยการนำเปลือกส้มมาคั้นหรือบีบเอาน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในเปลือกส้ม นำมาดมกลิ่นหรือใช้นวดตามร่างกาย ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้
เปลือกส้ม ประกอบด้วย ซิตรัล ( CITRAL ) เจอรานิออล ( GERANIOL ) และ ไลนาโลออล( LINALOOL ) ส่วนเปลือก ผลที่แห้งเมื่อนำมาจุดไฟจะมีกลิ่นหอมและสามารถไล่ยุงได้ดีอีกด้วย
        
เปลือกส้ม กับ ความงามบนใบหน้าสาวๆ” เปลือกส้ม มีคุณสมบัติช่วยทำให้สิวที่รังควานใบหน้าของสาว ๆ ยุบสลายได้อย่างดีทีเดียวเพียงแค่นำเปลือกส้มที่ไม่ใช้ไปล้างน้ำสะอาดบดให้ละเอียดๆ แล้วผสมกับน้ำเพียงเล็กน้อยนำไปแต้มสิว ทิ้งไว้สัก 20 -30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพียงเท่านี้สิวที่ผุดอยู่บนใบหน้าก็จะค่อยๆยุบหายไป ใบหน้าของคุณก็จะกลับมาใสปิ๊งเหมือนเดิม
   


            นอกจากนี้การศึกษาทางการแพทย์ ของทีมวิจัยของเภสัชกรในอังกฤษ พบว่าสารในเปลือกส้มมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะในเปลือกส้มเขียวหวานจะมีฤทธิ์ช่วยต้านทานมะเร็งบางอย่างได้ โดยสาร “ซาลเวสตรอล คิว 40” ในเปลือกส้มเขียว-หวาน สามารถทำลายเซลล์ มะเร็งที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ “พี 450 ซีวายพี 1 บี 1” ลงได้ ซึ่งการค้นพบ ในครั้งนี้อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ในการบำบัดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งทรวงอก ปอด ต่อมลูกหมาก และรังไข่ ได้ต่อไปในอนาคต


Credit:
 http://www.biogang.net/biodiversity_view.php?menu=biodiversity&uid=2827&id=126806
 http://frynn.com/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1/
 http://www.phuketbulletin.co.th/Lifestyle/view.php?id=356
 http://topwhiteimc.blogspot.com/2012/09/blog-post.html 
 http://www.iran-daily.com/News/56835.html
 http://www.hd-wallpapers9.com/Photos/Fruits/Orange%20Fruit%20Hd%20Wallpapers/24
 https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1&biw=1280&bih=643&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=4cKGVfWPMoeNuASTxYLwDQ&ved=0CAYQ_AUoAQ#tbm=isch&q=orange+juice&imgrc=z0NI1WXl0DwzTM%253A%3BPCAcFrXK9xNj7M%3Bhttp%253A%252F%252Fsites.uci.edu%252Fchppaa%252Ffiles%252F2013%252F02%252Fglass-of-fresh-squeezed-orange-juice.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.sodahead.com%252Ffun%252Fhow-do-you-like-your-orange-juice%252Fquestion-4554023%252F%3B746%3B560
 http://wallpapers111.com/orange-hd-wallpapers/

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

COMWORK:WEEK4

::โปรแกรมภาษาคอม(Java)::


ภาษาจาวา (Java) หรือ Java programming language คือ ภาษาคอมพิวเตอร์เชิงวัตถุ (Object Oriented) ที่มอง คิด ออกแบบ และเขียนโปรแกรมในลักษณะของเชิงวัตถุทั้งหมด โดยผู้ให้กำเนิดภาษาจาวาก็คือ เจมส์ กอสลิ่ง (James Gosling) โดยจริง ๆ แล้วภาษาจาวานั้นเดิมมีชื่อว่า ภาษาโอ๊ค (Oak)ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน ซึ่งเป็นภาษาที่ถูกออกแบบมาให้ทดแทนการทำงานของภาษา C++ เพราะตอนนั้น กอสลิ่ง มองเห็นว่าภาษา C++ ไม่เหมาะกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากมีการใช้หน่วยความจำที่มาก และ มีการทำงานที่ค่อนข้างช้า โปรแกรมต่าง ๆ ถูกสร้างภายใน class โปรแกรมเหล่านั้นถูกเรียกว่า method หรือ behavior โดยปกติจะเรียกแต่ละ class ว่า object โดยแต่ละ object มีพฤติกรรมมากมาย โปรแกรมที่สมบูรณ์จะเกิดจากหลาย object หรือหลาย class มารวมกัน โดยแต่ละ class จะมี method หรือ behavior แตกต่างกันไป
                                                      


แล้ว Object-Oriented Programming คืออะไร?

การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( Object-oriented programming, OOP) คือหนึ่งในรูปแบบการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ให้ความสำคัญกับ วัตถุ ซึ่งสามารถนำมาประกอบกันและนำมาทำงานรวมกันได้ โดยการแลกเปลี่ยนข่าวสารเพื่อนำมาประมวลผลและส่งข่าวสารที่ได้ไปให้ วัตถุ อื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทำงานต่อไป


จุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการ ในการพัฒนาจาวา คือ
  1. ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
  2. ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
  3. เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
  4. เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

 โปรแกรมที่ถูกพัฒนาด้วยภาษา Java ถูกแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ
 
1.Java Application – โปรแกรม Java ทั่ว ๆ ไปที่ทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง (Stand Alone Application)
2. Java Applet – โปรแกรม Java ที่ถูกนำไปใช้บน Internet เท่านั้น


ประวัติความเป็นมา

   Java ถูกพัฒนาในปี 1991 โดยบริษัท Sun Microsystems ที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Green Project ซึ่งเป็นการทำวิจัยสำหรับการพัฒนาซอฟแวร์เพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ในบ้าน กลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าผลสำเร็จของการวิจัยนี้จะนำไปสู่การพัฒนาโปรแกรมภาษาที่มีความสามารถ และประสิทธิภาพสูงสุดในได้อนาคต 
 โดยเริ่มแรกในการวิจัยพัฒนาโปรแกรมภาษาดังกล่าว C++ ถูกเลือกใช้ให้เป็นภาษาหลักในการพัฒนา เนื่องจากมีความเป็น OOP อยู่แล้วในตัว แต่แล้วกลุ่มนักวิจัยก็พบว่า C++ มีปัญหาและความไม่เหมาะสมต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น เรื่องของหน่วยความจำที่อาจจะมีเพียงน้อยนิด หรือ ไม่มีเลยในกลุ่มของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ไม่พอกับที่ C++ ต้องการ, เรื่องของระบบปฏิบัติการที่ไม่มีในเครื่องใช้เหล่านี้ หรือไม่ว่าจะเป็นความไม่รัดกุมของภาษาเอง ดังนั้นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัย James Gosling ได้คิดค้นภาษาใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีความเป็น OOP, ไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการ และมีการจัดการเรื่องของหน่วยความจำได้ดี เหมาะสมสำหรับการวิจัยครั้งนี้แล้วให้ชื่อว่า OAK
  ภายหลังจากการพัฒนาภาษา OAK ได้สำเร็จ บริษัท Sun ได้นำไปใช้กับบริษัทลูกค้าที่ต้องการพัฒนา Interactive TV ซึ่งเป็นการติดตั้งโปรแกรมลงไปที่กล่องสัญญาณ แล้วต่อพ่วงไปยัง TV เพื่อใช้เป็นตัวควบคุม และติดต่อกับผู้ใช้ แต่โครงการนี้ได้ยุบไปก่อนที่จะพัฒนาสำเร็จ OAK จึงไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย OAK จึงถูกเก็บเอาไว้ในคลังการวิจัยของ Sun
            ต่อมาไม่นาน เมื่อการ Internet และ HTML มีการพัฒนา และเป็นที่นิยมมากขึ้น Sun จึงเล็งการไกลถึงการพัฒนา Internet Application ก็เลยนำ OAK ขึ้นมาแก้ไขปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น Java ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

            ปัจจุบัน Java มีการพัฒนาออกมารวม ๆ แล้ว 3 เวอร์ชันหลัก ๆ ด้วยกันดังนี้
        Java 1.0 – เวอร์ชันแรกที่ยังคงสนับสนุนโดย Browser ทั่วไป
        Java 1.1 – ถูกพัฒนาเพิ่มเติมในเรื่องของ หน้าจอ และ event handling
        Java 2 – ล่าสุดที่ออกเวอร์ชันเป็นทดสอบในนาม Java 1.2 และ เสร็จสมบูรณ์ในปี 1998

                                   
รูปแบบของภาษา Java

        ภาษา Java เป็นภาษาที่ไม่กำหนดแบบการเขียนโปรแกรม ในแต่ละบรรทัด แต่ละบรรทัดสามารถเขียนคำสั่งได้หลายคำสั่งสามารถแทรกคำอธิบาย (comment) Java เป็นภาษาที่บังคับอักขระตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก (Case Sensitiv) Java มีตัวดำเนินการ(operators) หลายชนิด ให้ใช้งานนอกจากคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ผู้ใช้สร้างขึ้นมาใหม่ อาจกำหนดเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวเล็กก็ได้ และสามารถเขียนชุดคำสั่งที่ประกอบด้วยตัวดำเนินการหลายตัวที่ต่างชนิดกันใน ชุดคำสั่งหนึ่งๆได้ โดยภาษา Java จะจัดลำดับการประมวลผลตามลำดับการทำงานของตัวดำเนินการ รูปแบบคำสั่ง(statements) Java คือ ส่วนประมวลผล(Execute) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ทุกคำสั่งจะต้องจบด้วยเครื่องหมาย เซมิโคลอน( ; )



ข้อดี? ข้อเสีย?

ข้อดี
1. Write Once, Run Anywhere คือเขียนครั้งเดียวรันได้ทุกที ทุกอุปกรณ์ที่รองรับการทำงานของภาษาจาวา (JRE)
2. Object Oriented คือ เป็นภาษาเชิงวัตถุรองรับการออกแบบเชิงวัตถุ และการเขียนเชิงวัตถุ
3. รองรับการพัฒนาโปรแกรมบนหลากหลาย Platform (J2SE, J2ME และ J2EE)
4. ความเรียบง่าย กล่าวคือ ภาษาจาวาเป็นภาษาที่ถูกออกแบบมาอย่างดี
5. มีความปลอดภัยสูง เ้ข้มงวดในเรื่องของความผิดปกติของโปรแกรม
6. มี Class จำนวนมากมาย ทำให้ผูเขียนโปรแกรมภาษาจาวาไม่จำเป็นจะต้องเขียนโปรแกรมนั้น ๆ หากมี Class ให้ใช้งานอยู่แล้ว
7. ฟรี ภาษาจาวา สามารถนำมาพัฒนา และติดตั้งได้ฟรี และไม่ใช่เฉพาะตัวภาษาเท่านั้น ตัว IDE ก็ยังฟรีอีกด้วย
8. ระบบจัดการคืนพื้นที่หน่วยความจำอัตโนมัติ (Automatic Garbage Collection) ช่วยให้โปรแกรมเมอร์ไม่ต้องกังวลในเรื่องของการคืนหน่วยความจำให้กับระบบ (ในกรณีปกติ แต่ไม่ทุกกรณี)
 
ข้อเสีย
1. ภาษาจาวา เป็นภาษาที่เรียนรู้ค่อนข้างยาก ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาอื่น ๆ เช่น C, PHP และ VB เป็นต้น
2. ภาษาจาวา เป็นภาษาที่มีกฏเกณฑ์ที่ค่อนข้างเข้มงวด และีมีคำศัพท์ต่าง ๆ มากมาย
3. ภาษาจาวา "อาจจะ" ไ่มเหมาะกับการพัฒนาระบบงานที่ต้องการเสร็จได้ระยะเวลาอันสั้น หรือระบบงานขนาดเล็ก
4. ภาษาจาวา "อาจจะ" ไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรม (บางท่านบอกว่าเรียนยาก และไม่ค่อยเห็นหน้าตาของโปรแกรมเหมือนภาษาอื่น ๆ จึงทำให้เบื่อในการเขียนโปรแกรม)









Credit:
http://www.amplysoft.com/knowledge/Java%20%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2%20%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%20%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99.html
http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2185-java-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8
https://www.ozassignmenthelp.com.au/java-programming/
https://nongtha57.wordpress.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2-java/

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

COMWORK:WEEK3

 ::Social  Network กับนักเรียนและสังคมไทย::

ในปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จัก social network เพราะมันถือว่าเป็นสังคมๆหนึ่งที่เปิดใหม่ สามารถคุยสื่อสารกันได้ เหมือนสังคมที่เรารู้จัก แต่จะแตกต่างตรงที่ว่าเราสามารถเข้าถึง พูดคุยกับคนที่เราไม่รู้จักมักคุ้นได้อย่างง่ายดาย การเข้าถึงสะดวกและรวดเร็ว


 Social network ถูกนำมาใช้ในหลายๆด้าน อาทิเช่น การสื่อสาร การแชร์สิ่งที่เราต้องการ การเข้าถึงข้อมูลของเพจต่างๆ และผู้อื่น เป็นต้น ด้วยการทำงานเช่นนี้จึงมีการพัฒนาเป็น application สำหรับเล่นในสมาร์ทโฟนเพื่อสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น

 ในคนยุคนี้ social networkที่เป็นที่นิยมคือ 
 

facebook
 
twitter




 

 instargram





 line

ด้วยการทำงานที่กล่าวข้างต้นเป็นตัวดึงดูดให้คนสนใจและให้ความสำคัญกับมัน จึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การแบ่งเวลาไม่เป็น การก่ออาชญากรรม การฉ้อโกงต่างๆนานา จริงๆแล้วก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแต่ละคนว่าจะจัดการกับ social network พวกนี้อย่างไร ถ้าจัดการกับมันให้ดี เล่นอย่างมีสติ มันก็จะให้ประโยชน์แก่เรามากมาย แต่คนส่วนใหญ่มักไม่เป็นเช่นนั้น ต่างถูกลวงล่อด้วยฟังก์ชัน ลุ่มหลงกับสังคมออนไลน์และให้ความสำคัญกับมันมากกว่าสิ่งรอบข้างตัวเรา

จะดูได้จากปัญหาที่เกิดขึ้น มักจะเกี่ยวข้องกับ social network เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยง และอาจจะด้วยคนในสังคมที่เป็นตัวอย่างให้ทำตาม จนกลายเป็นค่านิยม จึงถือเป็นเรื่องปกติกับการเล่น เสพติด social network มากๆ และคนในครอบครัวอาจจะไม่ช่วยกันดูแล เพิกเฉยไม่ใส่ใจด้วย แต่ถ้ามีคนบอก แนะนำ ตักเตือนเกี่ยวกับการเล่น social network ก็จะไม่เกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น

ในความคิดเห็นส่วนตัว เรามองว่า social network ให้ความสะดวกรวดเร็วมากกว่าเดิม เป็นส่วนช่วยเราในด้านการสื่อสาร การติดต่อ การทำงาน และแน่นอนว่าในบางวันเราก็ถูก social network ครอบงำ ให้เวลากับมันมากเกินไป เล่นจนไม่ดูเวลา แต่แน่นอนว่าวันนั้นจะต้องไม่มีภาระงานที่ยังค้างอยู่ หรือมีการวางแผนล่วงหน้าแล้วว่าจะทำตอนไหน ช่วงเวลาใด แต่บางทีก็ไม่เป็นตามที่วางแผนไว้ เพราะเราให้ความสำคัญกับ social network มากกว่า บางครั้งเลยเกิดปัญหาตามมาในเรื่องของแบ่งเวลาไม่ทัน ส่งผลต่องานของเราด้วย ถึงแม้ว่ามันจะสร้างปัญหาให้กับตัวเรา แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า "เราขาด social network ไม่ได้แล้ว มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้วล่ะ"

Credit:
https://www.google.co.th/search?q=facebook&biw=1280&bih=643&source=lnms&tbm=isch&sa=X&sqi=2&ved=0CAgQ_AUoA2oVChMI9sDjxuiExgIVhbG8Ch0yzgAX#imgrc=fTKCrFX9aTbCVM%253A
%3BQanOc4elti2_UM%3Bhttps%253A%252F%252Fwww.facebook.com%252Fimages%25
2Ffb_icon_325x325.png%3Bhttps%253A%252F%252Fwww.facebook.com%252F%3B325
%3B325
https://www.google.co.th/search?q=facebook&biw=1280&bih=643&source=lnms&tbm=isch&sa=X&sqi=2&ved=0CAgQ_AUoA2oVChMI9sDjxuiExgIVhbG8Ch0yzgAX#tbm=isch&q=twitter&imgrc=H7MDzX6dzGGvgM%253A%3BEd04VSrD2S7bZM%3Bhttps%253A%252F%252Fcdn
.downdetector.com%252Fstatic%252Fuploads%252Fc%252F300%252Fa4e0b%252Ftwitter-logo_22.png%3Bhttps%253A%252F%252Fdowndetector.com%252Fstatus%252Ftwitter%
3B300%3B258
https://www.google.co.th/search?q=facebook&biw=1280&bih=643&source=lnms&tbm=isch&sa=X&sqi=2&ved=0CAgQ_AUoA2oVChMI9sDjxuiExgIVhbG8Ch0yzgAX#tbm=isch&q=instagram&imgrc=S6DTOJj5Qi9DTM%253A%3Bw9VsIMOpvPDRrM%3Bhttp%253A%252F%252F
www.thedrum.com%252Fuploads%252Fnews%252F170568%252FBBcb.jpg%3Bhttp%
253A%252F%252Fwww.thedrum.com%252Fnews%252F2014%252F12%252F10%25
2Finstagram-snaps-300m-users-worldwide-overtaking-twitter%3B525%3B430

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

COMWORK:WEEK2

"Countess Elizabeth Báthory"
ราชินีแวมไพร์

        เธอเป็นที่รู้จักในชื่อของ 'ฆาตกรหญิงที่โหดที่สุดในโลก' เมื่อคุณลองค้นเกี่ยวกับฆาตกรหญิงที่โหด คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบชื่อของหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ เอลิซาเบธ บาโธรี่

ประวัติ
http://www.terrortrove.com/wp-content/uploads/2015/02/blood-countess-elizabeth-bathory.jpg      
     เกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1560 ในเมือง Nyírbátor ประเทศฮังการี เป็นคนในตระกูล บาโธรี่ ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับกษัตริย์ฮังการีในสมัยนั้น

     เอลิซาเบธ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1614 (54 ปี) ในเมือง Cachtice ประเทศสโลวาเกีย







เอลิซาเบธ เกิดในปราสาทเชิงเขาคาร์เทียนใกล้ๆ กับแคว้นทรานซิลวาเนีย ซึ่งเป็นของตระกูลบาโธรี่อันเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของฮังการี่และสืบสายมา จากตระกูลแฮบสเบิร์กอันเก่าแก่ของยุโรป ตระกูลบาโธรี่จึงเป็นตระกูลที่เก่าแก่ร่ำรวย มีอำนาจล้นหลาม เป็นที่น่ายำเกรงของประชาชนทั่วไป และปกครองแคว้นทรานซิลวาเนียมาหลายต่อหลายยุคสมัย ความจริงแล้ว เอลิซาเบธไม่ใช่เด็กหญิงที่สวยงาม เธอออกจะขี้เหร่ด้วยซ้ำ

-เธอมีอาการบกพร่องทางจิตอย่างรุนแรง?

   เป็นเรื่องธรรมดาของตระกูลเก่าแก่ที่มีการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติเพื่อ รักษาทรัพย์สมบัติและอำนาจเอาไว้ ทำให้ผู้สืบสายเลือดตระกูลนี้จำนวนมากมีอาการบกพร่องทางจิตอันเนื่องมาจาก ลักษณะทางพันธุกรรม เป็นต้นว่าโรคฮิสทีเรีย หรือแม้แต่การสืบทอดของสาวกลัทธิบูชาปีศาจ ผู้มักมากในกาม ฯลฯ เอลิซาเบธ ก็เช่นเดียวกัน นิสัยเพี้ยนของเอลิซาเบธ ปรากฏตั้งยังเล็กๆ เอลิซาเบธนั้นแทนที่จะพอใจกับเกียรติยศที่ผู้คนเตรียมใส่พานทองมาประเคนให้ แต่เธอกลับทำท่าเบื่อหน่ายพวกพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ที่มาอบรมสั่งสอน เธอกลับเกเรหนีเรียน แอบไปเที่ยวเล่นกับลูกชาวนา ชาวไร่ที่เป็นทาส เธอชอบเล่นสัปดนเสียจนท้องเมื่ออายุเพียง 13

ข่าวที่น่าอับอายถูกส่งไปบอกผู้เป็นมารดาอย่างเร่งด่วน และก่อนที่จะมีผู้ใดระแคะระคาย เธอก็ถูกส่งตัวไปไว้ในปราสาทแห่งหนึ่งของตระกลูบาโธรี่ที่ห่างไกลสายตาผู้คน ท่านแม่ของเธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายต้องการอยู่ในที่สงบเพื่อรักษาตัว และเมื่อทารกเกิดมาก็อาจถูกฆ่าทิ้งหรือไม่ก็ถูกส่งไปที่ลับหูลับไม่ให้มีใคร เห็น ไม่ไม่ใครรู้ว่าทารกลูกคนแรกของเอลิซาเบธหลังจากลืมตามายังโลก สุดท้ายแล้วซะตากรรมเป็นเช่นใด

-จุดเริ่มต้นของการเริ่มทรมานคน

เมื่อเธอโตขึ้น เอลิซาเบธ เริ่มมีอาการป่วยเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังจนตลอดชีวิตของเธอ มีหมอหลายคนทำการรักษาแต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยเด็กที่เธอเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง จนกัดเนื้อไหล่ของสาวใช้ที่เข้ามาพยาบาล หลุดออกมา เอลิซาเบธได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้นั่นเอง อาการปวดหัวของเธอกลับหายเป็นปลิดทิ้ง นับแต่นั้นมา เกิดอาการปวดหัว เธอก็จะทรมานสาวใช้เพื่อให้เสียงร้องเหล่านั้นเป็นยาระงับอาการของเธอ

ปี 1575 เมื่อเอลิซาเบธ อายุ 15 ปี เธอก็แต่งงานกับท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่า 11 ปี  ทั้งสองย้ายที่อยู่ไปยังปราสาทเซติซ  ในสโลวาเกีย เพื่อจะอบรมเตรียมรับตำแหน่งเคาน์เตส ท่านเคานท์ฟีเรนซ์ นาดาสดี้ ไม่ใช่คนดีมากนัก สองสามีภรรยามักสนุกตื่นเต้น สนุกสนาน อยู่ด้วยกันเสมอกับการได้ทรมานบ่าวไพร่ ทั้งสองมีความสุขกับรสนิยมที่ต้องกันอย่างนี้มากล้นจนมีบุตรธิดาด้วยกัน ถึง 4 คน แต่ฟีเรนซ์มักจะไปออกรบตามที่ต่างๆจนไม่ค่อยอยู่ติดปราสาท ชีวิตสมรสของเอลิซาเบธ จึงไม่หวานชื่นเท่าใดนัก อาการปวดหัวของเธอกำเริบถี่ขึ้นและการทรมานสาวใช้ก็ค่อยๆหนักข้อขึ้นทุกที เป็นต้นว่า การแทงเข็มเข้าที่ปลายนิ้วของสาวใช้ หรือจับสาวใช้มาทาน้ำผึ้งทั่วตัวแล้วโยนลงไปในห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยมด

-การเปิดฉากตำนานเลือดของเธอเริ่มขึ้นแล้ว!!!

 สามีคู่ชีวิตซาดิสต์ได้เสียชีวิตลงในขณะอายุ เพียง 51 ปี ทิ้งสมบัติและอำนาจทุกอย่างไว้ในมือของภรรยา ซึ่งเธออายุ 40 ปี

เธอกลายเป็นราชินีในอาณาจักรของเธอ มีอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นไปดังใจคิด เอลิซาเบธมีความภูมิใจในรูปโฉมของตัวเองมาก แต่ตัวเธอก็ไม่สามารถเอาชนะกาลเวลาได้ นับวันร่างกายเหี่ยวยานตามกาลเวลา เธอต้องการความสวยที่เป็นอมตะตลอดกาล มีการสั่งให้แม่มดหมอผีที่คุ้นเคยทำยาคืนความสาวมาใช้หลายขนาน แต่ไม่ว่าอันไหนก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่อง ทันใดนั้นขณะที่เธอส่องดูเงาตัวเองในกระจกเธอนึกได้ว่า อายุเธอปาเข้าไปตั้ง 45 แล้ว เธอไม่อยากแก่ อยากคงความอ่อนเยาว์

ขณะที่สาวใช้กำลังสางผมให้กับเอลิซาเบธ ดึงผมหลุดติดหวีมาหลายเส้น เอลิซาเบธโกรธจัด เธอใช้เชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือทุบเด็กสาวอย่างไม่ยั้งมือ หยาดเลือดสาดกระเซ็นมาติดตามตัวของเธอ เธอนั่งลงเห็นหยาดเลือดทาสที่กระเด็นมา จึงให้สาวใช้ต้นห้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้า เมื่อเธอพบว่าใต้รอยเลือดนั้นผิวของเธอกลับนุ่มนวลผุดผ่องเป็นยองใยราว ผิดกับผิวเนื้อตรงอื่นอย่างเหลือเชื่อ เธอคิดได้ว่าเลือดสด ๆ มีคุณสมบัติพิเศษที่จะทำให้เธอเป็นสาวอมตะได้ตลอดกาล เลือดนั้นจะต้องเป็นของสาวแรกรุ่น ยังคงความพรมจรรย์ใว้อยู่

และด้วยเหตุนี้เองโศกนาฏกรรมการฆ่าสังหารเด็กสาวกว่า 600 คนเพื่อประทังความงามของเอลิซาเบธ บาโธรี่จึงเริ่มต้นขึ้น

วิธีการทรมานของเอลิซาเบธ น่าสยดสยอง มีทั้งการใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก
มีบันทึกกล่าวถึงงานฉลองที่เอลิซาเบธ จัดขึ้น เธอได้รวบรวมเด็กสาวหน้าตาดีจำนวน 60 คนมาจัดงานเลี้ยง คนแคระพากันเต้นรำ แม่มดก็พ่นไฟ เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงจุดสูงสุดนั่นเอง ประตูถูกปิดตาย และทหารก็กรูกันเข้ามา เด็กสาวที่พากันหนีลนลานบ้างก็ถูกข่มขืนแล้วแทงด้วยมีดที่กลางอก บ้างก็ถูกตัดหัว บ้างก็ถูกตัดแขนตัดขาและเสียเลือดมากจนสิ้นลม ศพและชิ้นส่วนต่างๆถูกรวบรวมมากรองเลือดใส่อ่าง และเอลิซาเบธก็เปลื้องผ้าลงแช่ในอ่างเลือด แต่การรอให้เลือดเต็มอ่างก็ยังไม่ทันใจเธอ เอลิซาเบธจึงทดลองวิธีที่เร็วกว่าด้วยการปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมา ใส่ตนเองเหมือนฝักบัวเลือด แต่เนื่องจากเหยื่อกรีดร้องน่ารำคาญ เด็กสาวคนที่สองจึงถูกเย็บปากเพื่อรักษาสุขภาพหูของเอลิซาเบธ                                   


อีกสิ่งหนึ่งที่เอลิซาเบธทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์โลกก็คือ เครื่องมือทรมานที่มีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่ง Iron Maiden  ช่างทำนาฬิกาถูกเรียกตัวมาจากเยอรมันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการบรรยายเกี่ยวกับสุภาพสตรีเหล็กตัวแรกสุดไว้ดังนี้ "ตุ๊กตาเหล็กนี้มีรูปร่างเป็นร่างเปลือยทาสีเนื้อ ส่วนใบหน้ามีการแต้มเครื่องสำอาง เมื่อกลไกขยับปาก ก็จะปรากฏรอยยิ้มอันเลื่อนลอยและเหี้ยมโหดขึ้นบนใบหน้า ที่อกมีพลอยประดับอยู่เป็นปุ่ม เมื่อกดปุ่ม ตุ๊กตาก็จะค่อยๆยกแขนขึ้น จากนั้นแขนก็จะเคลื่อนมาเป็นกอดอกซึ่งคนที่อยู่ในระยะรัศมีก็จะถูกแขนของ ตุ๊กตากอดไว้ พร้อมกันนั้น ส่วนตัวด้านหน้าก็จะเปิดออกเป็นบานประตู ภายในเป็นช่องกลวงและด้านหลังบานประตูมีเข็มแหลมยาวงอกอยู่ 5 เล่ม ผู้ที่ถูกตุ๊กตากอดไว้จะถูกขังอยู่ภายในตัวตุ๊กตาและถูกเข็มเหล่านี้แทง คั้นเลือดออกมาจนเสียชีวิต"
                         

                                         


-ความยุติธรรมเริ่มบังเกิด

 ประชาชนก็เริ่มร้องเรียนเรื่องไปยังราชสำนักถึงเรื่องคนหาย และมีญาติของเด็กหลายรายยืนยันว่าเด็กสาวที่ตายกันเป็นกองๆใกล้ปราสาทของเอลิซาเบธ อยู่นั้นล้วนแล้วแต่ถูกล่อลวงให้มาที่ปราสาทเธอ
และแล้วพระเจ้าแมทเทียสที่ 2 ก็ทรงเข้ามาจัดการกับคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เดือนธันวาคมปี 1610 เมื่อมาร์ควิสเธอร์โซซึ่งเป็นญาติของเอลิซาเบธ ไปยังห้องใต้ดินของปราสาทเซติช เขาก็ต้องผงะกับสิ่งที่ตัวเองพบ เครื่องทรมานจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่ชโลมอยู่แทบทุกที่และศพที่กองเป็นภูเขา บางศพถูกตัดทรวงอก บางศพถูกเฉือนเนื้อ บางศพก็ศีรษะถูกทุบจนแหลก และบางศพก็เต็มไปรู กลิ่นเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

เอลิซาเบธ บาโธรี่ ถูกสอบสวนในปี ค.ศ. 1610 พวกชาวไร่ชาวนาบรรดาผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายต่างอาฆาตแค้น และญาติสนิทของเธอเองก็โกรธเคืองอย่างหนักว่าเธอซาดิสต์ขนาดนี้ วงส์ตระกลูบาโธรี่เสื่อมเสียกันหมด ไม่มีอำนาจใดๆที่จะช่วยให้เธอพ้นผิดไปได้แล้ว

 เดือนมกราคมปี 1611 การตัดสินคดีของเอลิซาเบธถูกจัดขึ้นที่พิซเซ่  เธอก็รอดพ้นจากโทษประหารในขณะที่ผู้มีส่วนร่วมในการสังหารทุกคนต่างก็ถูก ตัดสินโทษเผาทั้งเป็น โดยผู้มีส่วนร่วมเป็นสาวใช้สองคนที่ทำหน้าที่ค้นหาและจับผู้หญิงสาวเคราะห์ ร้ายมาสังเวยแก่เธอถึง 605 คน

หลังการไต่สวนสมุนเอกของเคาน์เตสถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นในที่สาธารณะ ส่วนเอลิซาเบธ
ถกลากกลับไปที่ปราสาทเซติซของเธอเอง ที่นั้นเธอถูกให้เข้าไปอยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่งแล้ว เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองก็ก่ออิฐปิดหน้าต่างและประตูทั้งหมด เหลือไว้เพียงช่องเล็กๆพอที่จะสอดอาหารและน้ำ

การตัดสินโทษของเอลิซาเบธ ถูกโอนให้เป็นอำนาจของตระกูลบาโธรี่ และโดยผลการประชุมของตระกูล เอลิซาเบธ ก็ถูกตัดสินให้ถูกจองจำอยู่ในปราสาทเซติชไปจนตลอดชีวิตในห้องขังอันมืดมิด ซึ่งประตูถูกโบกปูนปิดตายตลอดชีวิต ไม่ให้หลุดมาทำอันตรายใครได้อีก

21 สิงหาคม 1614 ก็เป็นวันที่ปราศจากสัญญาณชีวิตจาก เอลิซาเบธ บาโธรี่ ช่องเล็กๆ เพียงช่องเดียวก็ได้ถูกอิฐก่อปิดสนิทลง  ทุกวันนี้ ปราสาทเซติซบนภูเขาคาร์ลปาเชียในสโลวาเกีย ที่ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สังหารเหยื่อของเอลิซาเบธ ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว แต่มันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่เช่นเดิม
                          
                              



หวังว่าเราจะไม่เจอคนประเภทนี้อีกนะ





 Credit:
 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%98_%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B5
 http://writer.dek-d.com/minty28/story/viewlongc.php?id=288178&chapter=38
 http://ideology.exteen.com/20080916/entry
 http://www.terrortrove.com/real-world-horror-hints-of-the-blood-countess-elizabeth-bathory-in-the-season-2-penny-dreadful-preview/